Thai

Ender's Game

ผมได้ยินกิตติศัพท์ของ Ender's Game มานานมาก ถ้าจำไม่ผิดครั้งแรกที่ได้ยินคือเมื่อ 8 ปีที่แล้วจากปากของอาจารย์ผมเอง ทุกครั้งที่คุยเรื่องนิยาย ไม่ว่าจะเป็นจีนหรือว่าวิทยาศาสตร์จะต้องมีเรื่องนี้มาเกี่ยวข้องเสมอ ถ้าจะอธิบายให้ถูกก็คือ ผมได้ฟังเรื่องฉบับย่อประมาณปีละอย่างน้อย 2 ครั้งเป็นเวลา 8 ปี ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้อง ถ้าเรียนหรือทำงานกับอาจารย์ผม รับรองว่าต้องเคยได้ยินอย่างน้อยก็มีเรื่องปนๆ มาบ้าง บางทีก็ไม่ได้บอกชื่อเรื่อง แต่พอเริ่มปุ๊ปก็แทบจะเดาชื่อเรื่องออกทันที ผมชอบอ่านนิยาย แต่เน้นไปทางด้านจีนหน่อย กำลังภายในประมาณนั้น พวกวิทยาศาสตร์ก็อ่านบ้าง แต่ไม่ถึงกับติด ถ้าเรื่องดังๆ ก็จะพยายามหามาอ่าน แค่กันตกยุค แต่เรื่องนี้อยากอ่านมานาน พอดีได้ข่าวจากรุ่นน้องอาจารย์เดียวกัน โชคร้ายที่ตอนไปเดินงานหนังสือไม่ได้ซื้อมาด้วยเพราะไม่รู้... สามวันก่อนก็เดินหาที่ซีเอ็ดแต่ก็ยังไม่เจอ เมื่อสองวันก่อนก็บ่นๆ ที่มหาลัยกับรุ่นพี่อาจารย์เดียวกัน ยังไม่ทันพ้นชั่วโมงก็พบ Ender's Game เกมพลิกโลก ภาคภาษาไทยวางอยู่บนโต๊ะอาจารย์ เมื่อวานเลยยืมมาอ่านทันที เดี๋ยวค่อยซื้อทีหลัง ตอนนี้ยังไม่มีโอกาสไปเดินหาจริงๆ จังๆ

Living with centipede

วันนี้มีเรื่องจะมาเล่าอยู่ 3 เรื่อง แบ่งได้เป็น เรื่องร้าย เรื่องร้ายกว่า และเรื่องดี เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของผมเอง ส่วนตัวมากๆ เริ่มที่ละเรื่องตามลำดับ

เรื่องร้าย

เมื่อตอนหัวค่ำเจอ ตะขาบ ตัวเป็นๆ ในห้องนอน เอ่อ ต้องใช้คำว่าสะดุ้งโหยง กระโดดออกไปนอกห้องแทบไม่ทัน จะวิ่งไปหยิบอาวุธยุทโธปกรณ์ก็กลัวมันจะหนีหายจนหาไม่เจอ ก็เลยต้องยืนมองจากระยะไกลแล้วตะโกนให้คนอื่นไปอะไรมาจัดการมัน รอซักพักก็ได้ไม้หน้าสาม พลั่วแบน และค้อน ลืมบอกไปว่าห้ามทำรุนแรงกับพื้นห้องนอน เพราะมันเป็นกระเบื้อง แตกไปจะไม่คุ้ม ตอนจัดการก็เลยต้องเพิ่มความระมัดระวังเข้าไปอีกหลายส่วน สรุปรวบยอดได้ว่า

  1. ใช้ไม้หน้าสามกดกลางตัวมันไว้ไม่ให้วิ่งหนี
  2. บดขยี้ไม้หน้าสามไปมา
  3. เอาพลั่วสอดเข้าไปใต้ส่วนลำตัวท่อนบน
  4. ทุบหัวและตัวท่อนบนด้วยค้อน
  5. ย้ายพลั่วมาด้านหางแล้วทุบด้วยค้อน

Education Technology in Primary School Part 3

ผ่านมาแล้วสองตอนสำหรับการสมัครเรียนประถมศึกษาปี่ที่ 1 ของเด็กคนหนึ่ง (ตอน 1 และตอน 2) ซึ่งเป็นบรรยากาศของการยื่นใบสมัคร ตอนแรกก็นึกว่าผ่านส่วนที่ยากที่สุดไปแล้ว แต่เอาเข้าจริง ผมก็คาดผิดจนได้ ขั้นตอนที่โหดมหาหินที่สุดมันพึ่งเริ่ม คราวนี้เราจะมาวิเคราะห์กันในเรื่องเทคโนโลยีที่แฝงอยู่ในวันสอบจริงกันบ้าง

Education Technology in Primary School Part 2

สืบเนื่องจากตอนที่แล้ว ผมก็ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรับสมัครทำนองเดียวกันในอีกหนึ่งโรงเรียน โรงเรียนที่สองนี้มีความโด่งดังไม่แพ้กันแม้แต่นิดเดียว เรียกว่าสมน้ำสมเนื้อ และยังถือเป็นโรงเรียนประเภทเดียวกันด้วย ที่ผมพยายามอธิบายเสียยืดยาวก็เพราะอยากให้ทราบว่าแต่ละโรงเรียนมีแนวทางการทำงานของตนเอง แม้ว่าจะเป็นโรงเรียนที่เหมือนกันแค่ไหน แต่วิธีทำงาน และกระบวนการเรียนการสอนที่ควบคุมด้วยกระทรวงการศึกษานั้นไม่ได้ครอบคลุมถึงชีวิตประจำวันของนักเรียนและคุณครูแต่อย่างใด หรือถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คือชีวิตทั้งชีวิตของคนหนึ่งคนนั้นมีผลจากช่วงชีวิตในวัยเด็กทั้งหมด และชีวิตวัยเด็กเกือบทั้งหมดอยู่ที่โรงเรียน กลับมาบ้านก็นอน ไม่ค่อยได้ซึมซับอะไรจากพ่อแม่ผู้ปกครองซักเท่าไหร่ ผมจึงเน้นความสำคัญของโรงเรียนเป็นอย่างมาก ผมไม่ได้อยากให้เด็กเก่งด้านวิชาการ ผมแค่ต้องการให้เด็กสามารถเอาตัวรอดในสังคมปัจจุบันได้เท่านั้นเอง แค่นั้นจริงๆ ครับ เรื่องในห้องเรียนน่ะเรื่องเล็ก ใครๆ ก็สอนได้ ถ้าคิดว่าไม่พอก็ไปเรียนพิเศษ (หมายถึงมีเพื่อนในโรงเรียนยังไม่พอ) ช่วงประถมถึงมัธยมเป็นช่วงของคุณครู ถ้าผมจำไม่ผิดเคยมีใครซักคนบอกความแยกต่างระหว่าง ครู และ อาจารย์ ไว้ว่า ครูจะอบรมสั่งสอน ส่วนอาจารย์จะเน้นสอนอย่างเดียว เอาเข้าจริงก็ไม่ถูกต้องซะทั้งหมด เท่าที่ผมเข้าใจช่วงก่อนอุดมศึกษาจะเป็นการสอนแบบป้อน และตั้งแต่อุดมศึกษาขึ้นไปจะเป็นการสอนแบบแนะ บางคนที่ยังติดกับการสอนแบบมัธยมจึงต้องมีช่วงของการปรับตัวเมื่อขึ้นมหาวิทยาลัย แต่นั่นเป็นการศึกษาในระดับสูงแล้ว ประเด็นสำคัญที่สุดอยู่ที่ระบบประถมนี่แหละครับ ที่ผมพยายามชี้ก็คือการสอนแบบป้อนนั้นควรจะดำเนินถึงระดับชั้นไหนกันแน่ ที่แน่ๆ ม.6 ไม่ควรป้อนแล้ว เพื่อให้สามารถไปเรียนในมหาวิทยาลัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องเสียเวลาปรับตัวอีกครั้งหนึ่ง

มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ปัญหาเดิมครับการรับสมัครเข้าป.1 เป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่ละโรงเรียนมีเทคนิคของตนเอง ซึ่งเป็นผลมาจากประสบการณ์ในปีที่ผ่านๆ มา โรงเรียนที่มีชื่อเสียงย่อมมีผู้ปกครองสนใจมากเป็นธรรมดา การจัดการกับผู้ปกครองจำนวนมากเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ถ้าตัดส่วนที่เป็นศิลป์ให้เหลือเพียงศาสตร์ เราก็จะสามารถสังเกตุแนวคิดของคุณครูได้มากมาย

Education Technology in Primary School Part 1

เหมือนว่าพักนี้มีเรื่องที่ไม่ใช่เทคนิควิ่งเข้ามาสู่ชีวิตเยอะเกินไปทำให้เป็นอันต้องหล่นจากหอคอยงาช้างที่มีเวลาเขียนโปรแกรมเยอะๆ ด้วยเหตุว่าได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสโรงเรียนประถมอีกครั้งหลังจากที่เดินออกมาสิบกว่าปี แม้ว่าจะผ่านมานานแต่สภาพการเรียนตอนนั้นผมยังจำได้ไม่เคยลืม เรื่องที่จะพูดวันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการเรียน แต่เป็นการรับสมัครนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นขั้นตอนการเริ่มต้นของชีวิตคนหนึ่งคน จุดเริ่มต้นที่แท้จริง หลังจากที่ตอนอนุบาลอยู่กันแบบสบายๆ ครูก็ไม่ได้สอนอะไรมาก แค่เตรียมความพร้อมสำหรับการเรียน

กลไกที่สำคัญที่สุดของการเรียนก็คือ คุณครู ถัดมาคือโรงเรียน เด็ก และผู้ปกครอง ตามลำดับ (อันนี้ความคิดผมไม่ได้อ้างอิงกับอะไรทั้งสิ้น) ผมไม่มีความรู้ด้านการศึกษา ตอนเรียนก็ขี้เกียจเป็นส่วนใหญ่ ตั้งใจเฉพาะวิชาที่ชอบ แต่สิ่งที่ผมได้มาจากการเรียนประถมและมัธยมก็คือ ความสามารถที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง และผมก็ใช้มาจนถึงทุกวันนี้ ผมกำลังพยายามคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้ผมเป็นผมแบบทุกวันนี้ แต่ยังนึกไม่ออก รู้แต่ว่าความสามารถนี้เริ่มเปล่งประกายตอนม.ปลาย หลังจากที่ตอนม.3 คิดอะไรขึ้นมาได้ซักอย่างทำให้ผมรู้จักตัวเองทะลุปรุโปร่ง สาเหตุเดียวที่พอจะนึกได้ก็คือ คุณครู ผมเลยให้ความสำคัญกับคุณครูมากเป็นพิเศษ เวลามีโอกาสไปโรงเรียนที่ไหนก็ตามผมก็จะสังเกตุคุณครูทุกท่านว่าท่านไหนถนัดอะไร สอนอะไร ต้องการอะไร ตามหลักรู้เขารู้เรา เข้าเรื่องกันดีกว่า

Looking for a generic report generator

ช่วงนี้งานยุ่งแบบแปลกๆ เหมือนว่าไม่ควรจะยุ่ง แต่ก็รู้สึกไปเองว่ายุ่ง และยังรู้สึกเหมือนเจอ dejavu ยิ่งขึ้นไปทุกวัน เรื่องของเรื่องก็เกิดจากงานที่พุ่งเข้ามาทุกวันๆ โดยเฉพาะสองเดือนนี้ เนื่องจากงานที่ทำเอียงไปทางด้านราชการ (มีหลายคนแยกว่าไม่ใช่ แต่ผมว่าใช่แน่ๆ) ทำให้ต้องมีเอกสารมากขึ้นเป็นเงาตามตัว เรื่องที่จะขาดไม่ได้ก็คืองบประมาณประจำปีซึ่งต้องวางแผนล่วงหน้ากันทุกปี ผมเองไม่ได้มีหน้าที่จัดทำงบประมาณ แต่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องบ้างในฐานะของผู้ใช้งบ หน้าที่ของผู้ใช้งบที่ผมรู้ตอนเดือนที่แล้วก็คือ เขียนโครงการ ซึ่งประกอบด้วย

  1. บทคัดย่อ
  2. วัตถุประสงค์
  3. เป้าหมายและตัวชี้วัด
  4. รูปแบบและแผนการดำเนินงาน
  5. แผนปฏิบัติการ
  6. งบประมาณรายไตรมาส
  7. และอื่นๆ อีกเบ็ดเตล็ด